ถึงแม้ผู้กู้ชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ได้น้อยเต็มที แต่ตราบใดที่ยังสามารถชำระหนี้ได้ไม่ว่าจะน้อยเท่าใด ผู้ค้ำประกันก็ยังไม่ต้องรับผิดชอบ คำพิพากษาศาลฎีกาอันนี้ว่าตาม หลักกฎหมาย เขาว่าเงินบำนาญนั้นอายัดเพื่อชำระหนี้มิได้ มาอ่านรายละเอียดกัน
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 286
(2) เงินเดือน ค่าจ้าง บำนาญ บำเหน็จ เบี้ยหวัด หรือรายได้อื่นในลักษณะเดียวกันของข้าราชการ เจ้าหน้าที่ หรือลูกจ้างในหน่วยราชการ และเงินสงเคราะห์ บำนาญ หรือบำเหน็จที่หน่วยราชการได้จ่ายให้แก่คู่สมรสหรือญาติที่ยังมีชีวิตของ บุคคลเหล่านั้น (ไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี) แต่คดีนี้ อายัดเงินบำนาญได้
เอ้า….แล้วทำไมคดีถึงว่า อายัดเงินบำนาญได้
พิพากษาศาลฎีกาที่ 5462/2549
- คดีนี้จำเลยที่ 1 เป็นผู้กู้ จำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน
- ประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 689 บอกทำนองว่า “…..ถ้าผู้ค้ำประกันพิสูจน์ได้ว่าผู้กู้นั้นมีทางที่จะชำระหนี้ได้และการ ที่จะบังคับให้ผู้กู้ชำระหนี้นั้นจะไม่เป็นการยากไซร้ ท่านว่าผู้ให้กู้จะต้องบังคับการชำระหนี้รายนั้นเอาจากทรัพย์สินของลูกหนี้ ก่อน”…..แม้จะได้น้อยเต็มทีผู้ให้กู้ก็ยังไม่มีสิทธิเรียกเอาจากผู้ค้ำ
- ประกันศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระให้จำเลยที่ 2 ชำระแทน
- จึงมีผลเท่ากับว่าให้จำเลยที่ 1 ใช้เงินแก่โจทก์ก่อน ถ้าจำเลยที่ 1 ไม่สามารถจะใช้ได้ ก็ให้จำเลยที่ 2 ใช้แทนจนครบ
- จำเลยทั้งสองทราบว่าศาลคำบังคับให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ตามคำพิพากษาแล้วแต่เพิกเฉย
- โจทก์จึงยื่นคำร้องขอบังคับคดีด้วยการอายัดเงินบำนาญของจำเลยทั้งสองเพื่อให้จำเลยที่ 2 ได้ชำระหนี้ด้วย
- จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องคัดค้านว่า จำเลยที่ 1.ยังสามารถชำระหนี้ให้แก่โจทก์ได้ จำเลยที่ 2.ยังไม่ต้องชำระ
- ศาล ชั้นต้นไม่อนุญาตตามคำร้องคัดค้านของจำเลยที่ 2 (ยังคงให้โจทก์บังคับชำระหนี้จากจำเลยที่ 2 พร้อมๆกับการบังคับชำระหนี้เอาจากจำเลยที่ 1ได้)
- จำเลยที่ 2 อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้โจทก์บังคับชำระหนี้เอาจากจำเลยที่ 2
- ศาลอุทธรณ์พิพากษายกเลิกคำสั่งของศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้โจทก์บังคับชำระหนี้จากจำเลยที่ 2 (กลับกัน)
- โจทก์จึงฎีกาว่าเมื่อ เจ้าพนักงานบังคับคดีอายัดเงินบำนาญของจำเลยที่ 1 ไม่เพียงพอชำระหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์จึงชอบที่จะอายัดเงินบำนาญของจำเลยที่ 2 ไปพร้อมกันได้
- ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยที่ 1 ยังมีทรัพย์สินที่จะชำระหนี้ได้และการบังคับชำระหนี้ไม่เป็นการยาก
- แม้จะเป็นการชำระหนี้เพียงบางส่วนแต่ก็ยังไม่ปรากฏพฤติการณ์ใดที่แสดงให้เห็น ว่าโจทก์ไม่อาจบังคับชำระหนี้จากจำเลยที่ 1 ได้อีกต่อไป
- จำเลยที่ 2 ชอบที่จะขอให้เพิกถอนการอายัดเงินบำนาญของจำเลยที่ 2 ได้
สรุปว่า แม้จำเลยที่ 1 จะชำระหนี้ได้แต่เพียงบางส่วน ก็ยังถือว่า มีความสามารถในการชำระอยู่ จำเลยที่ 2 ยังไม่ต้องเข้ามารับชำระหนี้…..ฮาๆๆๆคำพิพากษาศาลฎีกาอันนี้ว่าตามหลักกฎ หมายเป๊ะๆ
หมาย เหตุ เงินบำนาญที่ไม่สามารถบังคับคดีเพื่อชำระหนี้ได้นั้น เป็นไปตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 286 ที่บัญญัติว่า ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งกฎหมายอื่น เงินหรือสิทธิเรียกร้องเป็นเงินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาต่อไปนี้ ไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี
(2) เงินเดือน ค่าจ้าง บำนาญ บำเหน็จ เบี้ยหวัด หรือรายได้อื่นในลักษณะเดียวกันของข้าราชการ เจ้าหน้าที่ หรือลูกจ้างในหน่วยราชการ และเงินสงเคราะห์ บำนาญ หรือบำเหน็จที่หน่วยราชการได้จ่ายให้แก่คู่สมรสหรือญาติที่ยังมีชีวิตของ บุคคลเหล่านั้น
จาก(2)ข้างต้นนั้นไม่สามารถบังคับคดีได้เฉพาะ “ข้าราชการ หน่วยงานราชการ” คดีนี้ เจ้าพนักงานบังคับคดีมีหนังสือถึงผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทยแจ้งอายัด สิทธิเรียกร้องเงินบำนาญของจำเลยที่ 1 เดือนละ 3,600 บาท และของจำเลยที่ 2 เดือนละ 5,400 บาท
……….การการรถไฟแห่งประเทศไทย ไม่อยู่ในความหมาย “ข้าราชการ หน่วยงานราชการ”